วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ทดลองวิทย์สนุกๆ ในห้องเรียนวิทยาศาสตร์กับ “เทียนทอง ทองพันชั่ง”

ผศ.ดร.เทียนทอง กับการทดลองเอาไข่ออกจากขวด

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ทดลองใส่น้ำตาลทรายลงไปในน้ำอัดลมให้เกิดฟองฟู่









“ห้องเรียนวิทยาศาสตร์” จัดได้ว่าเป็นห้องเรียนที่สนุกสุดๆ ห้องเรียนหนึ่งสำหรับใครหลายๆ คน ซึ่งในระยะหลังมานี้ ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ก็ได้ชื่อว่ายิ่งสนุกสนานเพลิดเพลินยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อมีนักวิทย์นักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้เปลี่ยนห้องเรียนแคบๆ ให้ออกไปไกลสุดเขตจินตนาการ

ผศ.ดร.เทียนทอง ทองพันชั่ง นักวิทย์รุ่นใหม่ ปี 47 และคณะนักวิจัยภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คือ ผู้บุกเบิกกลุ่มแรกๆ ที่ช่วยดึงช่วยฉุดให้ “วิทยาศาสตร์” เข้าใกล้เยาวชนมากขึ้น ผ่านการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ที่น่ารักน่ารู้ไปแทบซะทุกเรื่อง โดยในงาน “รื่นเริงกับความรู้” (Knowledge Fair) ที่จัดขึ้น ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะของเขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่มามอบความรู้ความบันเทิงให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่กันอย่างเต็มที่ ในชื่อการแสดง “สนุกกับเคมี” (Chemistry is Fun.)

เพราะแม้ว่า การแสดงทางวิทยาศาสตร์ของ ผศ.ดร.เทียนทองและคณะ จะเริ่มขึ้นในช่วงบ่ายหลังจากที่น้องๆ นักเรียนในเขตกรุงเทพฯ จากหลายโรงเรียนร่วมร้อยคน ได้รับประทานอาหารและหนังท้องตึงหนังตาหย่อนบ้างแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเลยที่แอบหลับจนพลาดการแสดงที่น่าสนใจนี้

การทดลองวิทยาศาสตร์ของพวกเขาเริ่มจาก “การหาวิธีดึงไข่นกกระทาออกมาจากขวดปากแคบ” ซึ่ง เมื่อนำวิธีของนักเคมีมาเล่นด้วยแล้ว ผศ.ดร.เทียนทอง ก็ไม่ได้หาอะไรมาเขี่ยไข่นกกระทาออกแต่อย่างใด แต่กลับลงมือเทน้ำอัดลมลงไปในขวดแก้วที่มีไข่นกกระทาอยู่ จากนั้นจึงนำยาลดกรดในกระเพาะซึ่งมีโซเดียมไบคาร์บอเนตเป็นส่วนประกอบหยอด ตามลงไปด้วย ซึ่งก็ทำให้เกิดฟองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากมายที่ช่วยดันไข่นกกระทาให้ออก จากปากขวดแคบๆ ได้อย่างง่ายดาย เรียกเสียงฮือฮาจากน้องๆ ในห้องโถงกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ยกใหญ่

และเมื่อเครื่องเริ่มติดแล้ว ผศ.ดร.เทียนทองและคณะ ก็ทยอยนำความรู้วิทยาศาสตร์เสนอออกมาตลอด 2 ชั่วโมงได้ไม่ยั้ง โดยโยนคำถามต่อเนื่องจากคำถามแรกที่ว่า “หากเติมอะไรลงไปในน้ำอัดลมแล้วจะเกิดก๊าซมากที่สุดระหว่างน้ำตาลทรายและโซดาไฟ” ซึ่งเมื่อน้องๆ อาสาสมัครได้ขึ้นมาทดลองด้วยตัวเองแล้วก็พบว่า น้ำตาลทรายจะทำให้เกิดฟองก๊าซมากที่สุด สังเกตได้จากฟองฟู่ที่ล้นออกมาจากขวดอย่างต่อเนื่องนับสิบวินาที เนื่องจากเมื่อเราใส่น้ำตาลทรายลงไปในน้ำอัดลมแล้ว มันก็จะเข้าไปทำลายสมดุลของน้ำอัดลมและทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากใน น้ำอัดลมระเหยออกมา

ขณะที่การทดลองที่น่าสนใจต่อมาคือ การทดลองเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ของสารเคมีชนิดต่างๆ ในปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้น ซึ่งเมื่อน้ำส้มสายชูทำปฏิกิริยากับผงฟูแล้ว ก็จะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมามากมาย แต่ปฏิกิริยานี้จะเริ่มคงที่เมื่อสารเคมีตัวหนึ่งซึ่งเป็นคู่ปฏิกิริยาเริ่ม หมดไป โดยจากการทดลองนี้ก็จะสอดคล้องพอดีกับความรู้เรื่อง “ปริมาณสารสัมพันธ์” ในชั้น ม.ปลาย

ส่วนการทดลองต่อมา คือ “การทำหมึกล่องหน” ซึ่งน่าฉงนไม่น้อย เมื่อหมึกสีฟ้าเข้มๆ ของสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ไทมอฟทาลีนจะเปลี่ยนเป็นไม่มีสีเมื่อค่าความ เป็นกรดเป็นด่างเปลี่ยนไป เมื่อสารละลายที่เทไปบนเสื้อผ้าได้ทำปฏิกิริยากับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใน อากาศจนทำให้สูญเสียความเป็นกรดไปบางส่วน อันเป็นเหตุให้สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ไทมอฟทาลีนเปลี่ยนไปเป็นไม่มีสี

มาถึงตรงนี้ ดูท่าการทดลองจะไม่จบลงง่ายๆ เสียแล้ว เพราะทั้งคณะผู้แสดงและน้องๆ ที่คอยดูการแสดงดูจะติดลม ชื่นชอบการแสดงวิทยาศาสตร์มากทีเดียว โดยการแสดงต่อมา คือ “กลเปลี่ยนสี” ที่อยู่ดีๆ น้ำหมึกสีน้ำเงินเข้มก็เปลี่ยนไปเป็นไม่มีสีภายในครึ่งนาที แต่ทว่ากลับเปลี่ยนมาเป็นสีน้ำเงินเข้มอีกครั้งเมื่อเริ่มเขย่าแก้วทดลองอีก ครั้ง และผลัดกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

เมื่อฟังเฉลยจาก ผศ.ดร.เทียนทอง แล้ว ทุกคนก็ถึงบางอ้อทีเดียว เพราะมายากลที่ว่าเกิดขึ้นนี้ เป็นเพราะปฏิกิริยาระหว่างสารละลายน้ำตาลกับโซเดียมไฮดรอกไซด์ และสารละลายเมทธิลีนบลูซึ่งมีสีน้ำเงิน ที่เกิดปฏิริยารีดักชั่นจนเมทธิลีนบลูเปลี่ยนเป็นไม่มีสี แต่จะกลับมามีสีอีกครั้งเมื่อเกิดปฏิกิริยาออกซิไดซ์ภายหลังการเขย่า

ส่วนอีกการแสดงความรู้วิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจไม่แพ้กันยังได้แก่ “การทดลองเถาวัลย์วิทยาศาสตร์” ที่จำลองการเตรียมไนล่อน หรือ ปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรเซชั่น มาให้ชมกัน เมื่อเราเทสารละลายไดอะมิโนเฮกเซนเข้ากับอะดีโพอิลคลอไรด์ ก็จะทำให้จุดเชื่อมต่อของสารละลาย 2 ชนิดเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นไนล่อน 66 ที่สาวออกมาใช้งานได้จริง

สำหรับการแสดงสุดท้ายที่ ผศ.ดร.เทียนทอง และคณะ นำมาฝากกันอีกคือ “การทดลองเพลิงหลากสี” ที่เมื่อเราสเปรย์ (พ่นละออง) ไอออนของธาตุแต่ละชนิดไปยังเปลวไฟของตะเกียงทดลอง เราก็จะสังเกตเห็นเปลวไฟสีสวยสดสีต่างๆ ได้ชัดเจน

การทดลองนี้สามารถอธิบายได้ว่า แสงสีที่เราได้เห็นนั้นเกิดจากการคายพลังงานของธาตุชนิดต่างๆ โดยธาตุต่างชนิดกันก็จะให้แสงสีของเปลวไฟแตกต่างกันด้วย เช่น แคลเซียมให้เปลวไฟสีส้ม ทองแดงให้เปลวไฟสีน้ำเขียว ส่วนโพแทสเซียมให้เปลวไฟสีม่วง จากกลไกนี้จึงทำให้เราสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ไปผลิตเป็นดอกไม้ไฟหลากสี ที่น่าดึงดูดใจ หรือแม้แต่การวิเคราะห์หาธาตุหลักๆ ของดวงดาวในจักรวาลแต่ละดวงจากแสงสีที่เกิดขึ้นเมื่อดาวระเบิด (ซูเปอร์โนว่า)

สุด ท้ายนี้ ผศ.ดร.เทียนทอง ฝากบอกด้วยว่า หากโรงเรียนใดสนใจการแสดงวิทยาศาสตร์ดังกล่าว ทางคณะการแสดงก็ยินดีที่จะไปเปิดการแสดงให้ โดยสามารถติดต่อมาได้ที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หรือแม้แต่ติดต่อผ่านมาทางกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทว่า น้องๆ ที่จะทดลองวิทยาศาสตร์บ้างก็ต้องทดลองภายใต้การดูแลของคุณครู และปฏิบัติตามหลักความปลอดภัยให้มากที่สุด เพื่อที่จะทำให้การทดลองวิทยาศาสตร์มีแต่สาระ ความสนุกและความเพลิดเพลินได้มากที่สุดนั่นเอง

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


game-codes-cheats
online-shooting-games
dress-up-games
free-chess-games-games
gam
thanksgiving-word-games
ben-10-play-games
dora-the-explorer-games-to-download
download-the-full-game-of-transport-tycoon
free-bachelorette-party-games

"ขิงแก่" แคนาดาสุดเฟื่อง !! แนะแก้โลกร้อนจากเทคนิค "ยานเอเลี่ยน"

อดีต รมว.กลาโหมแคนาดา “ขิงแก่” ไอเดียบรรเจิด เรียกร้องนานาชาติเปิดข้อมูลมนุษย์ต่างดาวที่ซ่อนไว้ เชื่อเทคโนโลยีที่ใช้สร้างยานมาถึงโลกไม่ใช่ย่อย โดยเฉพาะระบบพลังงานต้องมีเชื้อเพลิงพิเศษที่ไม่ใช้พลังงานฟอสซิล หวังหากนำมาใช้ได้จริง พิทักษ์โลกได้แน่

พอล เฮลไลยเออร์ (Paul Hellyer) อดีตรัฐมนตรีกลาโหมแคนาดาเรียกร้องให้รัฐบาล ทั่วโลกเปิดเผยและนำเทคโนโลยีเอเลี่ยนที่ปิดบังกันไว้ออกมาใช้ โดยเชื่อว่ามีหลายเหตุการณ์ที่ยานบินของมนุษย์ต่างดาวตกลงบนพื้นโลก และประเทศต่างๆ เก็บข้อมูลไว้

”ผมต้องการเห็นเทคโนโลยีเหล่านี้ว่าอาจจะช่วยกำจัดการเผาเชื้อเพลิงจากฟอสซิลได้ภายในชั่วอายุคน และนั่นเป็นหนทางที่จะพิทักษ์โลก” อดีต รมต. วัย 83 ปี เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ “ออตตาวา ซิติเซ็น” (Ottawa Citizen)

ทั้งนี้ เฮลไลยเออร์เชื่อว่า ยาน อวกาศของมนุษย์ต่างดาวกว่าจะเดินทางด้วยระยะทางอันแสนไกลมาถึงโลกได้ต้อง ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ที่ก้าวล้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบขับดันหรือไม่ก็ต้องใช้พลังงานที่ไม่ธรรมดาเป็นเชื้อ เพลิงในการเดินทาง

อดีต รมต.แคนาดาย้ำว่า เทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวแบบนี้จะช่วยมวลมนุษยชาติให้ได้พลังงานทางเลือก ไม่ต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงจากฟอสซิลอีกต่อไป โดยเขาได้ยกตัวอย่างถึงกรณีอุบัติการณ์ลึกลับ เชื่อว่ามีจานบินตกที่รอสเวลล์ นิว เม็กซิโก สหรัฐฯ ในปี 1947 ส่องประกายให้แก่ผู้ที่เชื่อในมนุษย์ต่างดาวว่ามีอยู่จริง และเฮลไลเออร์นับว่าเป็นตัวอย่างการติดต่อของมนุษย์ต่างดาว

”พวกเราจำเป็นต้องโน้มน้าวให้รัฐบาลต่างๆ เปิดเผยในสิ่งที่พวกเขารู้ เราเชื่อว่าหลายๆ ประเทศมีข้อมูลมากมาย และนั่นคงจะมากพอที่จะพิทักษ์โลกเราไว้ได้ หากนำมาประยุกต์ใช้ทันการณ์” เฮลไลยเออร์เผย

ที่สำคัญอดีตรัฐมนตรีวัยเกษียณผู้นี้เคยตกเป็นข่าวดังในปี 2005 ด้วยการประกาศว่า “เขาเคยเห็นยูเอฟโอ” และเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ที่รอสเวลล์มีทั้งร่างและยานของเอเลี่ยนซึ่ง สหรัฐฯ พยายามปกปิด

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th

thats-so-raven-dress-up-games
free-monopoly-game-downloads
free-online-virtual-reality-games
java-mobile-games
who-invented-the-game-of-baseball
fun-free-casino-game
kid-food-games
online-halloween-games-for-kids
sonic-the-hedgehog-games
download-free-java-games

ฝรั่งเศสเปิดเว็บเผยข้อมูลลับ UFO ที่เก็บมากว่า 50 ปี

ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศแรกที่เปิดแฟ้มลับของตนใน เรื่องเกี่ยวกับ “ยูเอฟโอ” ซึ่งรวบรวมข้อมูลรายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบนฟากฟ้ากว่า 1,600 กรณี ตลอดช่วงเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา

องค์การอวกาศแห่งชาติฝรั่งเศส (CNES : Centre National d’Etudes Spatiales) ได้จัดแถลงข่าวเปิดตัวเว็บไซต์ www.cnes-geipan.fr ซึ่งรวบรวมข้อมูลรายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบนฟากฟ้า

ฐาน ข้อมูลออนไลน์แห่งนี้ยังคงอัปเดตเมื่อมีรายงานกรณีใหม่ๆ เข้ามาด้วยนั้น ได้จัดทำรายการกรณีที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดยิบ โดยมีตั้งแต่เหตุการณ์ซึ่งสามารถโยนทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย ไปจนถึงเหตุการณ์จำนวนหนึ่งซึ่งแม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ผู้ไม่ยอมเชื่ออะไร ง่ายๆ ก็ยังต้องนิ่งอึ้ง

ฌาคส์ ปาเตอเนต์ (Jacques Patenet) วิศวกรการบินอวกาศ ผู้อำนวยการสำนักงานทำหน้าที่ศึกษา "ปรากฏการณ์ในบรรยากาศและอวกาศที่ไม่สามารถระบุชี้ชัดได้" (non-identified aerospatial phenomena) ขององค์การอวกาศฝรั่งเศส อวดว่าการเปิดแฟ้มผ่านทางออนไลน์ของแดนน้ำหอมเช่นนี้ ถือเป็นครั้งแรกของโลก

หลายประเทศโดยเฉพาะอังกฤษและสหรัฐฯ มีการเก็บรวบรวมข้อมูล “วัตถุบินได้ที่ไม่สามารถระบุชี้ชัด” หรือ “ยูเอฟโอ” อย่างเป็นระบบเช่นกัน ทว่าผู้สนใจศึกษาต้องอาศัยกฎหมายเสรีภาพด้านข้อมูลข่าวสารมาบังคับให้หน่วย งานที่จัดเก็บยอมเปิดแฟ้มให้ดู และก็ขอดูได้เป็นกรณีๆ ไปเท่านั้น

ปาเตอเนต์ บอกว่า กรณีอย่างเช่นสตรีผู้หนึ่งรายงานว่า พบเห็นวัตถุที่ดูเหมือนม้วนกระดาษชำระกำลังบินอยู่ ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีคุณค่าพอที่จะดำเนินการสอบสวน แต่ก็มีกรณีจำนวนมากที่มีผู้พบเห็นกันหลายคน อีกทั้งมีหลักฐานอย่างเช่น รอยไหม้ หรือเรดาร์สามารถตรวจจับรูปแบบการบินของวัตถุนั้นๆ ตลอดจนมีการเร่งความเร็วชนิดที่ท้าทายกฎทางฟิสิกส์ เหล่านี้ย่อมควรที่จะต้องพิจารณากันอย่างจริงจัง

จาก กรณีกว่า 1,600 กรณีที่เก็บรวมไว้ตั้งแต่ปี 1954 มีเกือบ 25% ถูกจัดให้อยู่ใน “ประเภท ดี” (type D) ซึ่งหมายความว่า “แม้จะมีข้อมูลที่ดีหรือกระทั่งดีมาก และมีพยานที่น่าเชื่อถือ แต่เราก็เผชิญกับอะไรบางอย่างที่เรายังไม่สามารถอธิบายได้” ปาเตอเนต์กล่าว

หนึ่งตัวอย่างของกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นในวันที่ 8 มกราคม 1981 บริเวณนอกเมืองตรองส์-ออง-โปรวองซ์ (Trans-en-Provence) เมืองเล็กๆ ทางภาคใต้ของฝรั่งเศส ชายผู้หนึ่งที่กำลังทำงานในทุ่งนารายงานว่า ได้ยินเสียงหวูดหวีดแปลกๆ และพบวัตถุรูปร่างเหมือนชามกลมๆ ตื้นๆ รัศมีประมาณ 2.5 เมตร ลงจอดในทุ่งนาของเขา ห่างจากตัวเขาไปราว 50 เมตร

เขาแจ้งความกับตำรวจว่า วัตถุรูปชามซึ่งมีสีเทาสังกะสีตุ่นๆ นี้ ได้ทะยานขึ้นฟ้าแทบจะทันทีทันใด และทิ้งรอยไหม้ไว้หลายรอย คณะเจ้าหน้าที่สอบสวนได้ถ่ายภาพ และเก็บตัวอย่างหลายอย่างมาวิเคราะห์ ทว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคำอธิบายที่น่าพอใจ

แต่ก็มีกรณีอย่างเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 1990 ซึ่งมีพยานเกือบ 1,000 คนบอกว่าพบเห็นแสงสว่างวาบบนท้องฟ้า แล้วการสอบสวนระบุว่าเป็นเพียงเศษของจรวดที่ตกกลับเข้าสู่บรรยากาศของโลก

เมื่อถูกถามเรื่องมีมนุษย์จากนอกโลกจริงหรือไม่ ปาเตอเนต์ตอบว่า “เราไม่มีหลักฐานแม้แต่น้อยนิดที่พิสูจน์ว่า มนุษย์ต่างดาวเป็นผู้อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์อันไม่อาจอธิบายได้เหล่านี้”

ทว่าเขาก็กล่าวต่อไปว่า “แต่เราก็ไม่มีหลักฐานแม้แต่น้อยนิดเช่นกันที่พิสูจน์ว่า พวกเขาไม่ได้อยู่เบื้องหลัง”

ทั้งนี้ CNES ได้รับรายงานการเห็น UFO ปีละ 50-100 กรณี และส่วนใหญ่เป็นการรายงานผ่านตำรวจ มีเพียงแค่ 10% ในจำนวนนี้ที่วัตถุประหลาดนั้นได้รับการสืบสวนต่อไป

เว็บไซต์ดังกล่าวนับเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีซึ่งมีทั้งรูปภาพ และรายงานของตำรวจอย่างละเอียด ซึ่งการเปิดให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว จะช่วยให้ง่ายต่อการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตนอกโลกต่อไป

อย่างไรก็ดี ภายหลังเปิดตัวเว็บไซต์ www.cnes-geipan.fr ดูเหมือนว่าจะมีผู้ให้ความสนใจมากมายล้นหลาม จนเซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถรองรับได้ ผู้เข้าชมจากทั่วโลกจึงอาจจะไม่สามารถรับชมเว็บไซต์ดังกล่าวได้อย่างสะดวก นัก

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th

free-mac-game-downloads
hidden-object-games-online
free-online-drag-racing-games
play-makeover-games-on-celebrities
rating-booster-yahoo-games
icarly-games
absolutely-freeware-download-games-to-keep-forever
barbie-computer-games-free-downloads
cheats-for-harry-potter-game
online-games-for-kids

แฟน "แฮร์รี่" รู้ไว้นักวิทย์ทำวัตถุ "ล่องหน" จากคลื่นแสงได้แล้ว

แฟนๆ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” ต้องรู้ไว้นักวิทยาศาสตร์ประกาศลั่นว่าเข้าใจกลไกของ “การล่องหน” แล้ว และยังสามารถออกแบบ “วัตถุล่องหน” ในขั้นที่จะใช้งานได้จริงด้วย โดยทีมวิศวกรสหรัฐได้ต่อยอดคณิตศาสตร์ของทีมนักฟิสิกส์อังกฤษที่ออกแบบให้ วัตถุหายไปได้เพียงความยาวคลื่นเดียวสู่วัตถุที่หายไปได้หลายช่วงคลื่นซึ่ง จะได้ผลกับแสงที่ตามองเห็น และคาดว่าจะได้ต้นแบบจริงในอีก 2-3 ปีนี้

เมื่อปีที่ผ่านมานักฟิสิกส์อังกฤษได้พยายามสร้างรูปแบบสมการ คณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนสำรับการสร้างวัสดุให้ล่องหนได้โดยการหักเหแสงรอบๆ วัตถุให้เดินทางอ้อมวัตถุแทนที่จะสะท้อนแสงกลับเข้าสู่ตาเรา และปีนี้ทีมวิศวกรจากมหาวิทยาลัยเปอร์ดัว (Purdue University) ในอินเดียนา สหรัฐอเมริกาก็ได้อาศัยการคำนวณเหล่านั้นประดิษฐ์อุปกรณ์พื้นฐานที่วันหนึ่ง อาจจะนำไปสู่การประดิษฐ์เครื่องบินลำใหญ่ที่ล่องหนได้เช่นกัน

ทั้งนี้ทีมนักฟิสิกส์จากสหราชอาณาจักรได้ออกแบบวัสดุเป็นกระบอกทอง แดงที่คล้ายกับล้อรถซึ่งสามารถทำให้วัตถุล่องหนได้จากการจัดเรียงลำแสงที่ กระเจิงจากใจกลางของกระบอกทองแดง โดยต้นแบบการล่องหนดังกล่าวประกอบด้วยวัสดุคล้ายหวีที่เรียงซ้อนกันเป็นวง และจะหักเหแสงที่อยู่รอบๆ วัตถุที่ถูกคลุม ทำให้เรามองเห็นพื้นหลังของวัตถุแต่ไม่สามารถมองเห็นวัตถุได้ แต่ข้อจำกัดของต้นแบบนี้คือจะได้ผลกับแสงที่มีความยาวคลื่นเดียวและไม่ได้ผล กับแสงที่ตามองเห็นซึ่งมีหลายช่วงคลื่น

สำหรับ วัตถุล่องหนแบบใหม่นั้นถูกออกแบบใหม่ให้ประกอบขึ้นจากโลหะคล้ายเข็มเล็กๆ ที่เรียงเป็นรูปกรวยด้วยมุมและความยาวที่จะบังคับให้แสงผ่านไปรอบๆ วัตถุที่ถูกคลุมและทำให้วัตถุนั้นอันตรธานไป เพราะแสงไม่สามารถสะท้อนออกมาได้ และวัตถุนี้ยังได้ผลกับแสงที่มีหลายช่วงคลื่นด้วย

วลาดิเมียร์ ชาเลฟ (Vladimir Shalaev) หัวหน้าทีมวิจัยและอาจารย์วิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย เปอร์ดัว อธิบายว่าวัสดุที่พวกออกแบบนั้นจะทำให้วัตถุที่ถูกคลุมล่องหนที่ความยาว คลื่น 632.8 นาโนเมตรซึ่งตรงกับช่วงคลื่นของสีแดง และการออกแบบโดยอาศัยการคำนวณเดียวกันนี้สามารถใช้ได้กับความยาวคลื่นอื่นใน ช่วงคลื่นของแสงที่ตามองเห็นได้ แต่การที่จะประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ทำงานได้พร้อมกันหลายช่วงคลื่นนั้นถือเป็น ความท้าทายอันยิ่งใหญ่ทางด้านเทคนิค

มัน ฟังดูเหมือนนิยาย ผมเข้าใจ แต่มันก็สมบูรณ์แบบภายใต้กฎฟิสิกส์ สมมติว่าเราสร้างของจริงขึ้นมาได้มันก็จะทำงานได้เหมือนผ้าคลุมล่องหนของแฮ ร์รี่ พอตเตอร์เลยทีเดียว และมันก็ไม่หนักจนเกินไปเพราะมีเพียงโลหะชิ้นเล็กๆ ที่อยู่ในนั้น โดยมันสามารถขยายใหญ่ได้อย่างไร้ขีดจำกัด จะทำให้ใหญ่เท่ากับตัวคนหรือจะให้ใหญ่เท่าเครื่องบินก็ได้” ชาเลฟกล่าว

อย่างไรก็ตามต้นแบบที่ยังเป็นเพียงทฤษฎีและจะถูกตีพิมพ์เผยแพร่ใน วารสาร “เนเจอร์โฟโตนิกส์” (Nature Photonics) ประจำเดือนนี้ ซึ่งชาเลฟก็ต้องการทุนวิจัยที่มั่นคงสำหรับพัฒนาวัตถุล่องหนต่อไป โดยเขาคาดว่าจะใช้เวลาอีก 2-3 ปีก็จะสามารถผลิตต้นแบบของจริงออกมาได้ ซึ่งการวิจัยนี้เกิดขึ้นในศูนย์นาโนเทคโนโลยีบริค (Birck Nanotechnology Center) ในอุทยานแห่งการค้นคว้าเปอร์ดัว (Purdue’s Discovery Park)

ในส่วนของต้นแบบที่ทำให้วัตถุล่องหนหายไปได้เพียงความยาวคลื่นเดียว นั้น แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้ “ผ้าคลุมล่องหน” เป็นจริงได้ แต่ในทัศนะของชาเลฟแล้วเชื่อว่ายังมีประโยชน์ที่จะประยุกต์ใช้งานได้ โดยวัตถุ ล่องหนภายใต้ความยาวคลื่นเดียวนั้นนำไปใช้ปกป้องทหารให้รอดพ้นจากแว่นตาที่ มองเห็นในความมืดได้ เพราะแว่นดังกล่าวช่วยให้มองเห็นได้จากความยาวคลื่นเดียว หรือช่วยพรางวัตถุจากอุปกรณ์ชี้เป้าด้วยเลเซอร์ซึ่งเป็นอุปกร์ณที่ใช้ในการท หาร

ทางด้าน อูล์ฟ ลีโอนาร์ต (Ulf Leonhardt) จากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูวส์ (University of St. Andrews) สหราชอาณาจักรซึ่งเป็นหนึ่งในนักวิจัยอังกฤษผู้ตีพิมพ์ผลงานเกี่ยวกับวัตถุ ล่องหนเมื่อปี 2549 ในวารสารเนเจอร์โฟโตนิกส์เช่นเดียวกันได้เขียนคำวิจารณ์ผลงานของทีมวิศวกร จากเปอร์ดู โดยเปรียบเทียบต้นแบบวัตถุล่องหนของพวกเขากับสิ่งประดิษฐ์ทางแสงของชาวโรมัน ซึ่งเป็นแก้วที่ประกอบด้วยอนุภาคระดับนาโนเมตรของทอง แก้วดังกล่าวจะปรากฏเป็นสีเขียวเมื่อสัมผัสแสงในช่วงกลางวัน และจะเปล่งแสงสีแดงเมื่อถูกส่องสว่างจากข้างใน ซึ่งคล้ายกับหลักการที่ทีมวิศกรทำให้วัตถุหายไป

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th

ben-10-online-games
best-video-game-cheats
cool-printable-kids-games
free-puzzle-games
narnia-online-games
free-games-on-line
free-online-casino-games
play-games-online
mature-flash-games
x-men-origins-wolverine-game-cheats

พบ "คริปโตไนต์" แร่ตัดพลังของ "ซูเปอร์แมน"

แร่คริปโตไนต์ สิ่งเดียวที่ทำให้ซูเปอร์แมนหมดแรงได้ ไม่ใช่แร่ที่มีแต่ในหนังสือการ์ตูนหรือภาพยนตร์อีกต่อไป

นักธรณีวิทยาในเซอร์เบีย (Serbia) ค้นพบแร่ชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบทางเคมีเหมือนกับแร่คริปโตไนต์ (Kryptonite) จากดาวคริปตัน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของซูเปอร์แมน โดยในหนัง "ซูเปอร์แมนรีเทิร์นส์ (Superman Returns)" เล็กซ์ ลูเธอร์ (Lex Luther) คู่ปรับตลอดกาลของซูเปอร์แมน ใช้แร่ดังกล่าวตัดพลังของซูเปอร์แมน

"เราต้องให้ความระมัดระวังกับแร่ตัวนี้ เราคงไม่อยากพรากซูเปอร์ฮีโร่ที่คนชื่นชอบที่สุดไปจากโลกใบนี้" ดร.คริส สแตนลีย์ (Dr Chris Stanley) ผู้ศึกษาเกี่ยวกับแร่ จากพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา กรุงลอนดอน แถลงข่าวปล่อยมุก (London's Natural History Museum)

สแตนลีย์ บอกว่า ระหว่างที่ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เกี่ยวกับสูตรเคมีของแร่ใหม่จากเซอร์เบีย ซึ่งเป็นสารประกอบ โซเดียมลิเทียมโบรอนซิลิเกตไฮดรอกไซด์ (sodium lithium boron silicate hydroxide) เขาก็พบด้วยความประหลาดใจว่า มันมีส่วนประกอบทางเคมีเหมือนกันเปี๊ยบกับแร่คริปโตไนต์ในเรื่องซูเปอร์แมน

"ผมประหลาดใจมากที่พบว่า มีชื่อวิทยาศาสตร์เดียวกันนี้เขียนอยู่บนกล่องหินใส่แร่คริปโตไนต์ ที่เล็กซ์ ลูเธอร์ ขโมยมาจากพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง ในหนังเรื่องซูเปอร์แมนรีเทิร์นส์" เขากล่าว

สสารที่พบจากเซอร์เบีย ได้รับการยืนยันว่าเป็นแร่ชนิดใหม่แล้ว จากการทดสอบของนักวิทยาศาสตร์แห่งพิพิธภัณฑ์สถานธรรมชาติวิทยา ในลอนดอน และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติแคนาดา (National Research Council in Canada)

แต่แร่ดังกล่าวไม่ได้เป็นผลึกคริสตัลใหญ่สีเขียวเหมือนในการ์ตูนซูเปอร์แมน หากมีลักษณะเป็นผงแป้งสีขาว ไม่มีธาตุฟลูออรีน (fluorine) และปลอดสารกัมมันตรังสี

แร่ใหม่นี้ จะมีชื่อว่า ยาดาไรต์ (Jadarite) และจะนำจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยาในลอนดอนในวันพุธที่ 25 เม.ย.และวันอาทิตย์ที่ 13 พ.ค. นี้

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th

family-guy-games-online
free-online-toddler-games
street-racing-games-online
disney-channel-games
free-online-flash-games
indoor-party-games
kid-games
wii-games-coming-soon
cheat-codes-for-pc-games
play-free-online-games

Hello

narongsakll